มาคุยกัน สฟิงซ์

คุณจะไม่มีทางจำแมวสฟิงซ์ผิดเป็นแมวสายพันธุ์อื่นอย่างแน่นอน เนื่องจากแมวสายพันธุ์นี้ไร้ขนและโชว์ผิวย่นๆ ที่ดูมีเสน่ห์แทน และยังมีความน่าดึงดูดใจสูงและน่ากอดสุดๆ ผู้หลงรักแมวสายพันธุ์นี้ไม่อาจต้านทานต่อลักษณะที่น่าสนใจนี้ได้ แมวสฟิงซ์อยู่ได้ตัวเดียวสบายมาก แต่ก็ชื่นชอบมากหากได้อยู่ร่วมกับเจ้าของ และจะบอกให้คุณรู้อย่างไม่อ้อมค้อมเมื่อแมวต้องการความใส่ใจจากคุณมากขึ้น

ชื่ออย่างเป็นทางการ: สฟิงซ์

ชื่ออื่นๆ: แคนาดา สฟิงซ์, แมวไร้ขนจากแคนาดา

แหล่งกำเนิด: รัฐออนแทรีโอ แคนาดา

ภาพขาวดำของแมวโตเต็มวัยพันธุ์สฟิงซ์
  • ความต้องการในการดูแลขน

    3 out of 5
  • ระดับพลังงาน*

    4 out of 5
  • แนวโน้มชอบส่งเสียง

    3 out of 5
  • สภาพแวดล้อม (ในบ้าน/นอกบ้าน)

    2 out of 5
  • ความเหมาะสมกับครอบครัว*

    5 out of 5
  • ความเข้ากันได้กับสัตว์เลี้ยงอื่นๆ

    5 out of 5
  • ความสามารถในการอยู่ได้โดยลำพัง*

    4 out of 5
* เราไม่แนะนําให้ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่โดยลำพังเป็นเวลานาน การมีคนหรือสัตว์อยู่ด้วยช่วยป้องกันความเครียดและลดพฤติกรรมทำลายข้าวของ โปรดขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ของคุณ สัตว์เลี้ยงทุกตัวมีความแตกต่างกันแม้ว่าจะเป็นสายพันธุ์เดียวกันก็ตามที คุณควรใช้ข้อมูลจำเพาะโดยสังเขปของสายพันธุ์เพื่อเป็นข้อบ่งชี้โดยทั่วไปเท่านั้น เพื่อสัตว์เลี้ยงที่สุขภาพดี มีความสุข และมีพฤติกรรมที่ดี เราขอแนะนําให้ฝึกและนำสัตว์เลี้ยงของคุณไปเข้าสังคมพร้อมทั้งตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของสัตว์เลี้ยง (และความต้องทางสังคมและทางพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง) ไม่ควรปล่อยสัตว์เลี้ยงไว้ตามลำพังกับเด็ก โปรดขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เพาะพันธุ์สัตว์หรือสัตวแพทย์ของคุณ สัตว์เลี้ยงทุกตัวเข้ากับคนง่ายและชอบอยู่ร่วมกับคนหรือสัตว์ตัวอื่น แต่คุณก็อาจฝึกให้สัตว์เลี้ยงเรียนรู้ที่จะอยู่ได้โดยลำพังได้ตั้งแต่อายุยังน้อย โปรดขอให้สัตวแพทย์หรือครูฝึกช่วยเหลือคุณในประเด็นนี้
ภาพประกอบแมวสฟิงซ์ยืนอยู่
ตัวผู้ตัวเมีย
ความสูงความสูง
0 - 0 cm0 - 0 cm
น้ำหนักน้ำหนัก
4 - 7 kg3 - 4 kg
ขั้นตอนชีวิต
ลูกแมววัยเติบโตช่วงอายุโตเต็มวัย
4 - 12 เดือน1 - 7 ปี
ช่วงอายุเริ่มสูงวัยช่วงอายุสูงวัย
อายุ 7 ถึง 12 ปีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป
แมวสฟิงซ์นั่งพิงแท่น
1/7

ทำความรู้จักกับสฟิงซ์

สิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์นี้

ไม่ใช่แมวทุกตัวจะถูกสร้างออกมาอย่างสมดุล แมวสฟิงซ์เป็นแมวที่ผิดธรรมดามากที่สุด แมวที่ไม่มีขน! และเป็นแบบฉบับของแมวที่ปกติที่สุดในกลุ่มสัตว์ตระกูลแมวทั่วไป ด้วยลักษณะตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม ดวงตารูปโค้งคล้ายผลเลม่อนขนาบข้างด้วยใบหูกว้างใหญ่ของแมวเปล่งประกายแห่งความรักความชื่นชมออกมาอย่างชัดเจน คงไม่มีทางอื่นจะพูดได้นอกจากว่า นี่คือหนึ่งในแมวสุดคูลอย่างแท้จริง

แม้ว่าสายพันธุ์จะดูเหมือนมาจากโลกยุคโบราณ แต่แมวสายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนอันหนาวเย็นของแคนาดา ในปี 1966 แมวสฟิงซ์ตัวแรกกำเนิดขึ้นจากแมวเลี้ยงตามบ้าน และไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม สายพันธุ์นี้ได้ถูกเรียกเป็นชื่อแมวไร้ขนจากแคนาดา

อุปนิสัยของแมวสฟิงซ์นั้นน่ารักมาก โดยมักชอบการกอดด้วยความรักใคร่หรือนอนหนุนบนตักของคุณ นี่คือแมวตัวติดเจ้าของอย่างแท้จริง ทั้งร่าเริงและขี้อ้อน สายพันธุ์นี้ชอบการกอดรัดและอยากได้ความใส่ใจจากเจ้าของ และหากไม่ได้รับ ก็จะพยายามเรียกร้องความสนใจจากคุณ แมวสายพันธุ์นี้ไม่ใช่นักพูดมากนัก และไม่ใช่นักสื่อสารด้วย แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะแมวต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มด้วย

เมื่อพูดถึงขน ขนบางๆ หรืออะไรก็ตามที่ปกปิดผิว แมวสฟิงซ์มีขนอ่อนละเอียดหุ้มผิวอยู่ ซึ่งไม่เหมือนสัตว์ตัวอื่นใดเลยในอาณาจักรสัตว์ ลองคิดถึงผ้าชามัวส์สิ บางครั้ง สายพันธุ์นี้ก็ไม่มีขนเลยเช่นกัน นั่นคือมีแต่ผิวหนังล้วนๆ และไม่มีอะไรอย่างอื่นเจือปน การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ผ่านการรับรองจากสัตวแพทย์หรือน้ำมันที่ปราศจากกลิ่นจึงจำเป็นเพื่อช่วยปกป้องขน หมายถึงการอาบน้ำทุกสัปดาห์ด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์หรือแชมพูแมวแรกเกิดเพื่อไม่ให้น้ำมันจากผิวเลอะเฟอร์นิเจอร์ ผิวหนังของแมวสฟิงซ์พับย่นรอบตัวแมวอย่างเป็นธรรมชาติ

ราวกับว่าทั้งหมดนี้ยังไม่พอ ขนของแมวสฟิงซ์ยังมาในรูปแบบสีผสมผสานเก๋ๆ ที่หลากหลาย ตั้งแต่สีน้ำเงิน ไปจนถึงสีสลับดำและสีขาว ไปจนถึงสีแดงและสีขาว

และไม่คิดเหรอว่าแมวดูฉลาดสุดๆ นั่นเป็นเพราะแมวสายพันธุ์นี้ฉลาด สายตาที่มีแววเฉลียวฉลาดทำให้แมวสายพันธุ์นี้ดูเก่งกาจเหนือใคร ราวกับว่ามีความรู้ทั้งหมดในโลกใบนี้ ถ้าคุณไม่แคร์ในเรื่องนี้ เราจะไม่มีวันรู้ และนั่นก็เป็นเรื่องดีมาก

ลูกแมวสฟิงซ์ห้าตัวนั่งอยู่ในกรง
2/7

ข้อเท็จจริง 2 ประการเกี่ยวกับสฟิงซ์

1. ไม่ใช่สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดอาการแพ้

แมวสฟิงซ์ไม่มีขน จึงไม่ใช่สายพันธุ์ที่กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ หมายความว่าสภาวะการไม่มีขนทำให้แมวไม่กระตุ้นภูมิแพ้ในตัวเจ้าของที่เลี้ยงแมวสายพันธุ์นี้

2. ขวดน้ำร้อนที่มีชีวิต

ใครๆ มักจะคิดว่าแมวที่ไม่มีขน น่าจะ ตัวเย็นแน่ๆ แต่ไม่ใช่เลยสำหรับสฟิงซ์ นี่คือแมวตัวอุ่น แมวสายพันธุ์นี้ มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าและเผาผลาญแคลอรี่ได้เร็วกว่าแมวสายพันธุ์อื่น คุณต้องดูแลให้แมวมีร่างกายอบอุ่นเสมอเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด

ภาพขาวดำของแมวสฟิงซ์ถ่ายจากด้านข้าง
3/7

ประวัติของสายพันธุ์

เมื่อมองดูรูปลักษณ์ทีเด่นกว่าใครของแมวสฟิงซ์ เรามักคิดไปถึงแหล่งกำเนิดจากดินแดนลึกลับในตะวันออกไกล แท้จริงแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แมวสายพันธุ์นี้ถือกำเนิดมาจากโตรอนโต แคนาดา อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าแคนาดาจะดูธรรมดาไปหรอกนะ ในปี 1966 แมวสฟิงซ์ที่รู้จักกันครั้งแรกนั้นถือกำเนิดจากแมวเลี้ยงในบ้านชื่อเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นแมวสีขาวดำธรรมดาและให้กำเนิดลูกแมวที่กลายพันธุ์ทางพันธุกรรม

ลูกแมวหรือที่รู้จักในชื่อ พรุน ได้รับผสมพันธุ์อย่างรวดเร็วกับแมวไร้ขนตัวอื่น และสายพันธุ์นี้ก็ถือกำเนิดขึ้น ในเวลานั้น แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ถูกเพาะข้ามสายพันธุ์กับแมวเดวอน เร็กซ์ สายพันธุ์ที่มาจากอังกฤษโดยมีหูขนาดใหญ่ใกล้เคียงกันและขนสั้นมาก อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือลูกแมวไร้ขน

แมวสฟิงซ์ยังมีชื่อเรียกว่า แมวไร้ขนจากแคนาดา แต่ในที่สุดก็มีชื่อตามปัจจุบัน เนื่องจากรูปร่างหน้าตาของแมวดูใกล้เคียงกับภาพเหมือนของแมวที่พบในอียิปต์โบราณ

4/7

ตั้งแต่หัวจรดหาง

ลักษณะทางกายภาพของแมวพันธุ์สฟิงซ์

1
2
3
4
5

1.หู

ใบหูขนาดใหญ่มาก สูง 3-4 นิ้ว ใบหูรูปสามเหลี่ยมตั้งสูง

2.ศีรษะ

ศีรษะทรงสามเหลี่ยม ค่อนข้างยาวมากกว่ากว้าง โหนกแก้มเห็นเด่นชัด

3.ลำตัว

ลำตัวขนาดกลาง มีกล้ามเนื้อ ผิวหนังย่นเกือบทั่วตัว ลำตัวอุ่น

4.หาง

หางยาว ผอม คล้ายแส้ ขนานกับหลัง

5.ขน

ลักษณะไร้ขนที่โดดเด่นอยู่ภายใต้ขนนุ่มละเอียด
ภาพขาวดำของแมวสฟิงซ์ถ่ายจากด้านข้าง
5/7

ข้อควรระวัง

ในที่นี้มีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางประการเกี่ยวกับแมวสายพันธุ์สฟิงซ์ ตั้งแต่ลักษณะนิสัยประจำสายพันธุ์ไปจนถึงภาพรวมด้านสุขภาพทั่วไป

เกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้ง่าย

เมื่อเพาะพันธุ์อย่างถูกต้อง แมวสฟิงซ์จะมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว แม้ว่าสายพันธุ์นี้จะเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจหนาได้ง่าย ซึ่งเป็นสภาวะหัวใจที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยมีลักษณะของผนังหัวใจที่หนาขึ้น ฟังดูอันตรายแต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาหากเกิดสภาวะนี้ นำแมวไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อวิเคราะห์หาความเป็นไปได้ต่างๆ

แมวไร้ขนแค่ไหน

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ แมวสฟิงซ์ที่ไร้ขนนี้คือ มีระดับของการไร้ขนต่างๆ กัน แมวบางตัวให้ความรู้สึกเหมือนหนังกลับแบบนิ่ม ขณะที่ แมวบางตัวให้ความรู้สึกถึงขนที่นุ่มเนียนเหมือนเนย แมวสฟิงซ์บางตัวมี ขนหนาขึ้นเล็กน้อยที่จมูกและใบหู หรือนิ้วเท้าและหาง ขนปกคลุมของแมวสฟิงซ์ให้ความเนียนนุ่มเหมือนแพรไหม แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีขนเลย

ทำไมจึงมีท้องใหญ่

ลักษณะรูปร่างทางกายภาพของแมวสายพันธุ์สฟิงซ์ โดยรวมแล้วค่อนข้างดี แม้ว่าจะดูบอบบางก็ตาม บางทีอาจเป็นเพราะ ไม่มีขนปกคลุม ในความเป็นจริงแล้วแมวสายพันธุ์นี้เป็นแมวที่แข็งแกร่ง และนั่นรวมถึง ตรงกลางลำตัวด้วย ช่วงท้องของแมวมักเต่งตึงประหนึ่งว่าเพิ่งกินเม็ดอาหารไปชามใหญ่ เลยมักถูกเรียกว่าเจ้าตัวพุงป่อง ถ้างั้นเราจะให้อาหารแมวสฟิงซ์อย่างไร น่าตลกมากที่เจ้าแมวนี้ไม่มีขน จึงควรกินมากกว่าแมวสายพันธุ์อื่น ที่ปกติแล้วจะมีขนปกคลุมพอที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น เพราะ เหตุนี้ ผู้เพาะพันธุ์สัตว์มักวางเม็ดอาหารทิ้งไว้ให้แมวกินเล่นได้ ตามที่ต้องการ

สัตวแพทย์อาจพูดคุยกับคุณเกี่ยวกับมาตรการป้องกันการดูแลน้ำหนักตัวของสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ของคุณอีกด้วย ตัวช่วยต่อไปนี้จะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้

อาหารที่มีโภชนาการเหมาะสม เพื่อแมวที่มีสุขภาพดี

โภชนาการเพื่อสุขภาพที่เหมาะสมมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพและความงามของแมวสฟิงซ์ อาหารให้พลังงานเพื่อเสริมสร้างการทำงานที่สำคัญและสูตรโภชนาการที่ครบถ้วนสำหรับแมวสฟิงซ์ควรมีสารอาหารที่สมดุล การให้อาหารแมวด้วยวิธีนี้จะให้อาหารที่สารอาหารไม่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ซึ่งทั้งสองอย่างอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของแมว

ควรจัดเตรียมน้ำสะอาดไว้ให้ตลอดเวลาเพื่อช่วยให้แมวปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอ แมวยังปรับตัวตามธรรมชาติให้แบ่งกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆ ย่อยๆ 7 ถึง 10 มื้อต่อวัน การให้เม็ดอาหารตามสัดส่วนที่เหมาะสมวันละครั้งจะช่วยให้แมวสฟิงซ์ของคุณควบคุมระดับการกินของตนเองได้

คำแนะนำต่อไปนี้ใช้ได้กับสัตว์ที่มีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น หากแมวของคุณมีปัญหาสุขภาพ โปรดปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณเพื่อสั่งจ่ายอาหารแมวสูตรลดน้ำหนักพิเศษ

การเจริญเติบโตเป็นขั้นตอนสำคัญในชีวิตของลูกแมว เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การค้นพบ และการเผชิญหน้าครั้งใหม่ ลูกแมวสฟิงซ์มีความต้องการพลังงาน โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินมากกว่าแมวโตเต็มวัยมาก โดยต้องการพลังงานและสารอาหารเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี และช่วยในการเจริญเติบโตและเสริมสร้างร่างกายที่แข็งแรง การเจริญเติบโตของลูกแมวมีสองขั้นตอน:

ช่วงสร้างอวัยวะ - ตั้งแต่แรกเกิดถึง 4 เดือน:

การหย่านมเป็นช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงอาหารของลูกแมวจากน้ำนมหรือนมแม่เป็นอาหารแข็ง ช่วงเวลานี้สัมพันธ์กับช่วงเวลาที่ลูกแมวเริ่มมีฟันน้ำนมในช่วงอายุ 3 ถึง 6 สัปดาห์ ในช่วงนี้ ลูกแมวยังไม่สามารถเคี้ยวได้ดี ดังนั้น อาหารแบบนิ่ม (เม็ดอาหารแบบนิ่มหรืออาหารเปียก) ช่วยให้ลูกแมวเปลี่ยนจากน้ำนมไปสู่อาหารแข็งได้ ระหว่าง 4 ถึง 12 สัปดาห์หลังคลอด ภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของลูกแมวที่ได้รับผ่านทางนมน้ำเหลือง หรือน้ำนมแรกของแม่ จะเริ่มลดลงในระหว่างที่ระบบภูมิคุ้มกันของลูกแมวเองจะค่อยๆ พัฒนาขึ้น ช่วงเวลาสำคัญนี้ ซึ่งเรียกว่าระยะที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ ร่างกายต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระที่ซับซ้อน รวมถึงวิตามินอี เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติ ลูกแมวต้องเผชิญกับช่วงเวลาการเจริญเติบโตที่สำคัญอย่างมากนี้ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงในการเกิดความปั่นป่วนในระบบย่อยอาหารได้มาก อาหารของลูกแมวในช่วงนี้ต้องเปี่ยมไปด้วยพลังงานเพื่อรองรับความต้องการในการเจริญเติบโตที่สำคัญ และควรมีโปรตีนที่ย่อยได้ง่ายสำหรับระบบทางเดินอาหารที่ยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต พรีไบโอติก เช่น ฟรุกโต โอลิโกแซคคาไรด์ ยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพของทางเดินอาหารที่ดีโดยช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลําไส้ ผลลัพธ์ที่ได้คือ อุจจาระที่มีคุณภาพดี และสุขภาพโดยรวมที่ดี อาหารของลูกแมวควรมีกรดไขมันโอเมก้า 3 จำพวก EPA-DHA ซึ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนาของระบบประสาทและสมองที่เหมาะสม

ช่วงประสานการทำงานของระบบต่างๆ - ตั้งแต่ 4 เดือนถึง 12 เดือน:

ตั้งแต่เดือนที่สี่ การเจริญเติบโตของลูกแมวจะชะลอตัวลง ดังนั้น จึงแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ข้อนี้สำคัญอย่างมากสำหรับแมวที่ทำหมันแล้ว ระหว่าง 4 ถึง 7 เดือน ฟันน้ำนมของลูกแมวจะหลุดออกและถูกแทนที่ด้วยฟันแท้ เมื่อเมื่อฟันแท้โผล่ขึ้น ลูกแมวต้องกินเม็ดอาหารที่มีรูปร่างและเนื้อสัมผัสที่เหมาะสมเพื่อให้จับได้ง่าย และกระตุ้นให้เกิดการเคี้ยว และเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีในช่องปาก ระบบภูมิคุ้มกันของลูกแมวสฟิงซ์ยังคงค่อยๆ พัฒนาจนกว่าจะอายุครบ 12 เดือน สารต้านอนุมูลอิสระที่ซับซ้อน รวมถึงวิตามินอี ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การค้นพบ และการเผชิญสิ่งใหม่ๆ นี้ ระดับพลังงานที่ปรับให้เหมาะสม และปริมาณวิตามินและแร่ธาตุที่สมดุลตามกำหนด รวมทั้งวิตามินบีจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตที่แข็งแรงของแมว พร้อมทั้งมีส่วนช่วยเสริมสร้างชั้นเกราะป้องกันของผิว และรักษาสุขภาพที่ดีของแมว ระบบทางเดินอาหารเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยมีระดับความสามารถในการย่อยอาหารเติบโตเต็มที่เมื่อแมวมีอายุสิบสองเดือน และสามารถกินอาหารสำหรับแมวโตเต็มวัยได้

เป้าหมายหลักทางโภชนาการสำหรับสฟิงซ์โตเต็มวัยคือ:

ตอบสนองความต้องการพลังงานสูง เพื่อชดเชยกับสภาวะไม่มีขน แมวสฟิงซ์จึงมีอัตราการเผาผลาญอาหารสูงมาก ซึ่งช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายโดยมีชื่อเรียกว่า กลไกปรับอุณหภูมิของร่างกาย กระบวนการนี้ใช้พลังงานปริมาณมาก ดังนั้น อาหารของแมวจึงควรอุดมไปด้วยไขมันและโปรตีนเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการนี้

ช่วยรักษาสุขภาพผิวหนัง และช่วยลดการระคายเคืองของผิวหนังโดยสร้างความแข็งแรงให้กับชั้นผิวที่เป็นเกราะป้องกันด้วยสารอาหารเฉพาะ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6

เสริมสร้างการทำงานของหัวใจและบำรุงสุขภาพหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจหนา เป็นโรคหัวใจทางพันธุกรรมซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีผลต่อแมวสฟิงซ์ อาหารที่อุดมไปด้วยทอรีน ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีเยี่ยม

เสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีในช่องปาก ด้วยเม็ดอาหารที่มีรูปร่างและขนาดพอเหมาะกับขากรรไกร และมีเนื้อสัมผัสที่ชวนให้เคี้ยวและช่วยให้ฟันเจาะลึกเข้าไปในเม็ดอาหาร

ช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะแข็งแรง

แมวสูงวัย หมายถึงแมวที่มีอายุมากกว่า 12 ปี อาจมีปัญหากับการดูดซึมในบางครั้ง เพื่อรักษาระดับน้ำหนักของแมวสูงวัย พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของการขาดสารอาหาร แมวควรได้รับอาหารที่ย่อยง่ายที่สุดซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็น

เมื่ออายุมากขึ้น แมวจะมีปัญหาเรื่องฟันมากขึ้นเรื่อยๆ และในแมวสูงวัยบางตัว การรับรสและกลิ่นอาจลดลงเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้กินอาหารได้น้อยลง เพื่อให้แน่ใจว่าแมวยังกินอาหารในปริมาณที่เพียงพอ จึงต้องปรับเปลี่ยนรูปร่าง ขนาด และความแข็งของเม็ดอาหาร ซึ่งหมายถึงเนื้อสัมผัส ให้เหมาะสมกับฟันที่เปราะบางของแมวในวัยนี้

โปรดทราบว่าระดับพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับแมวยังคงขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ แม้กระทั่งแมวสูงวัย แมวสูงวัยที่ยังออกไปข้างนอกเป็นประจำจะได้รับประโยชน์จากอาหารที่มีปริมาณไขมันสูงกว่าเล็กน้อย ในทางกลับกัน แม้แมวสูงวัยแล้ว แต่แมวเลี้ยงในบ้านก็ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนเช่นเดิม ควรตรวจสอบปริมาณแคลอรี่ที่แมวบริโภคอย่างใกล้ชิด อาหารที่มีปริมาณไขมันปานกลางอาจเหมาะสมที่สุด

แมวสายพันธุ์สฟิงซ์ยืนอยู่บนโต๊ะไม้พร้อมยกอุ้งเท้าข้างหนึ่งขึ้นมา
6/7

การดูแลแมวสฟิงซ์ของคุณ

เคล็ดลับในการดูแลขน การฝึก และการออกกําลังกาย

รูปร่างอรชรของแมวนั้นดูผอมเพรียวบาง แมวสฟิงซ์เกิดมาเป็นนักกีฬา และมีแนวโน้มตามธรรมชาติที่จะชอบปีนป่าย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งนั้นเอื้อมไม่ถึง แมวสายพันธุ์นี้ชอบเล่น ไม่ใช่แมวที่จะนั่งนิ่งและนอนเรื่อยเปื่อยบนโซฟา ความต้องการในการเคลื่อนไหวนี่เองที่ทำให้แมวสายพันธุ์นี้ยิ่งดูมีเสน่ห์และรักษาหุ่นได้ดี แมวพันธุ์นี้ได้ประโยชน์จากอัตราการเผาผลาญที่สูง ซึ่งช่วยในเรื่องความอยากอาหารของแมวที่ค่อนข้างสูง ข้อควรระวัง: ในขณะที่แมวจำนวนมากออกกำลังนอกบ้าน แมวสายพันธุ์นี้ควรออกกำลังในบ้าน เนื่องจากผิวหนังที่บอบบางนั้นจะปลอดภัยที่สุดเมื่อไม่โดนแสงแดด

ขนของแมวสฟิงซ์อาจไม่มากมายล้นเหลือ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องดูแลเลย เพียงแต่ต้องดูแลต่างออกไป ขนอ่อนนุ่มละเอียดนี้ต้องการการดูแลมากเกือบเท่ากับเจ้าแมวขนปุย ปกป้องผิวได้ดีที่สุดด้วยการทาน้ำมันที่ไม่มีกลิ่นหรือมอยส์เจอไรเซอร์บ่อยครั้ง เช่นเดียวกับที่มนุษย์ดูแลผิวของตัวเองเพื่อให้ลื่นและเนียนนุ่ม เพื่อการดูแลแมวสฟิงซ์ของคุณอย่างดีที่สุด ควรอาบน้ำให้แมวสัปดาห์ละครั้งด้วย แชมพูสูตรผสมมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงเพื่อไม่ให้น้ำมันจากผิวเลอะเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน ผิวหนังของแมวสฟิงซ์ย่นทบไปมาบนลำตัว และต้องการการใส่ใจเมื่ออาบน้ำเพื่อดูแลให้ผิวสะอาด อาจใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดผิวได้

ลักษณะนิสัยของแมวสฟิงซ์จัดว่าเป็นสายพันธุ์ที่ขี้อ้อนมาก แมวกระตือรือร้นที่จะทำให้เจ้าของพอใจและต้องการเรียนรู้ แมวสายพันธุ์นี้อาจเผยความฉลาดอย่างมากและพลังงานที่ล้นเหลือเฟือ อุปนิสัยที่ทำให้การฝึกวินัยแมวเป็นไปด้วยดี แมวสฟิงซ์จงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงพึงพอใจและมีความผูกพันกับเจ้าของเป็นพิเศษ การฝึกที่เป็นการส่งเสริมทางบวกเป็นวิธีการฝึกแมวสายพันธุ์นี้ได้ดีที่สุด

7/7

ทุกสิ่งเกี่ยวกับสายพันธุ์สฟิงซ์

จากข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมาจากผู้หลงใหลแมวสฟิงซ์ แมวสายพันธุ์นี้สร้างความเพลิดเพลิดอย่างมากให้กับครอบครัว ไม่ชอบอยู่นิ่ง ขี้อ้อน และน่ากอดเป็นเพียงคำคุณศัพท์บางส่วนที่อธิบายแมวตัวนี้ นิสัยของสฟิงซ์เป็นแมวที่ต้องการความเป็นเพื่อนที่ดี และไม่พอใจอย่างยิ่งหากถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เป็นที่รู้กันว่าเข้ากันได้ดีกับเด็กและสัตว์อื่นๆ

คุณคงเดาได้ สายพันธุ์นี้มีโอกาสเกิดโรคผิวหนังและผิวไหม้แดดได้ แมวสฟิงซ์ ขาดเมลานินในผิวหนังซึ่งเป็นคุณสมบัติในเม็ดสีที่ป้องกันการดูดซึมรังสียูวีที่เป็นอันตราย ทางที่ดีที่สุดคือไม่ควรให้แมวโดนแสงแดด แต่ถ้าทำได้ยาก ให้คุณลองสอบถามสัตวแพทย์เกี่ยวกับการใช้ครีมกันแดดที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์เลี้ยง ควรอาบน้ำเป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นได้ สายพันธุ์นี้ยังเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา HCM ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ควรนำแมวไปหาสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อให้แมวสฟิงซ์ของคุณมีสุขภาพดีเสมอ

ที่มา
  1. ศูนย์สัตวแพทย์แห่งอเมริกา https://vcahospitals.com/
  2. สารานุกรมแมวของโรยัล คานิน ฉบับปี 2010 และ 2020
  3. โรงพยาบาลสัตว์แบนฟิลด์ https://www.banfield.com/
  4. คู่มือผลิตภัณฑ์ BHN ของโรยัล คานิน



ชอบ และแบ่งปันหน้านี้